Last updated: 4 ก.พ. 2567 |
“จตุพร-วัชระ” จับมือฟาด “ทักษิณ”บาดแผลประเทศ “วัชระ” กังวลผู้นำการเมืองเป็นเครื่องมือต่างชาติครอบงำความคิดเด็กเยาวชนเป็นอันตรายต่อประเทศ บทสะท้อนชั้น 14 มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก เชื่อไปจบที่ศาลอาญาทุจริต “จตุพร” ย้ำอภัยโทษเฉพาะรายทักษิณ จาก 8 ปีเหลือ 1 ปี แต่ติดไม่ถึง 1 วัน บาดแผลใหญ่แต่ทั้งหมดมาจากการดิว ชี้จุดแข็ง”ก้าวไกล” ยังไม่เคยเป็นรัฐบาลแบกความหวังไว้ทั้งหมด จ่อยึดกลไกประเทศผู้ มีอำนาจทนไม่ได้หวั่นจบแบบรัฐประหาร22พค.
ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง วัน 3 กุมภาพันธ์ 2567 สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดงาน “กินขนมจีน ซดกาแฟ ดูแลเพื่อน” และ Newstalk for friends โดยบนเวทีมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมพูดคุยระดมความคิดการฟื้นฟูกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง และทวงถามยุติธรรมในบ้านเมือง โดยมีปรเมษฐ์ ภู่โต อดีตผู้ดำเนินรายการช่อง NBT ดำเนินรายการ โดยบนเวที นายวัชระกับนายจตุพร ซึ่งเคยทำกิจกรรมในรั้วรามคำแหงด้วย และเคยมีจุดยืนทางการเมืองตรงข้าม ได้จับมือสร้างความาสมานฉันท์กันด้วย
นายวัชระ เพชรทอง กล่าวว่า จะบอกว่าเราลูกพ่อขุน เราเกิดจากรามคำแหงเราออกไปรับใช้พี่น้องประชาชน จตุพร พรหมพันธ์ อาจจะมีประสบการณ์มากกว่าผม ในหลายๆเรื่องและในที่สุดเราก็มาจับมือกันที่รามคำแหงเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไปในอนาคตครับส่วนจะมีกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง และเราจะตกเป็นจำเลยร่วมกันอะไรบ้าง ก็ค่อยว่ากันในอนาคต ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า เป็นลูกพ่อขุน ที่เราเรียนรามแท้ๆ เราเรียนจริงๆ อาจจะจบนานหน่อยไม่เหมือนกับนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือ เฉลิม อยู่บำรุง ที่จบอย่างรวดเร็วด้วยการอุปถัมภ์ค้ำจุนจาก คุณอารังสรรค์ แสงสุข เมื่อเราเห็นว่าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ในฐานะที่เรารักความเป็นธรรม เราก็ใช้สิทธิของความเป็นพลเมือง สิทธิตามรัฐธรรมนูญไปทำหน้าที่ ที่พึงกระทำอย่างไม่ผิดกฎหมายและเป็นสิทธิที่เราสามารถจะดำเนินการได้ในฐานะประชาชนธรรมดา ซึ่งสิ่งที่หล่อหลอมให้พวกเรามีความกล้าที่จะไปทำการสิ่ง นั้นก็เพราะรั้วรามคำแหง สอนให้เรามีความกล้าหาญ กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอธิการบดีที่ไม่ยุติธรรม เราทะเลาะกับอธิการบดีและเราก็ได้เผยแพร่แนวคิดทางการเมืองที่รักชาติ รักความยุติธรรมและ สิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดเรา รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ และไม่เคยทรยศต่อประชาชนไม่เคยทรยศต่อแผ่นดิน
“เมื่อเราเห็นแล้วว่าสภาพบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ภายใต้พรรคการเมืองที่เราเห็น ในฐานะที่เราแพ้น้องส้ม เราแพ้น้องส้มทั้งประเทศ ก็ยอมรับว่าน้องส้มเก่งไม่ว่าจะด้วยปัจจัยที่มาจากอเมริกาหรือสิ่งที่ไรามองไม่เห็นแต่เป็นที่รับรู้กันว่า การเมืองนอกประเทศก็เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศและเข้ามาแทรกแซงถึงรั้วมหาวิทยาลัย โดยเรานั้นกลายเป็นคนที่ล้าหลัง คนที่ตามไม่ทันกับสื่อเหล่านั้นและเขาก็ได้ไปครอบงำความคิดของเด็กๆ เยาวชนจำนวนมาก จำนวนหนึ่งให้มีทัศนคติอย่างนั้นซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศของเรา ซึ่งควรจะอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารอย่างสงบและร่มเย็นตามประสาคนไทย ด้วยวิถีของอัตลักษณ์ของความเป็นไทย แต่สิ่งที่แทรกซึม แทรกแซงเข้ามานั้นกำลังจะทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศยูเครนในอนาคต เราอาจจะได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์ของชาติ มุ่งแต่เป็นเครื่องมือของประเทศ นอกประเทศของเรา ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเป็นประเทศไหน ตรงนี้อันตราย”
นายวัชระ กล่าวว่า ถ้าเราได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ประสีประสา ไม่มีรากเหง้าความเป็นไทยและนำประเทศไปสู่สงครามระหว่างประเททศในอนาคตเหมือนกับประเทศยูเครน ก็จะตกอยู่ในอันตราย ในฐานะที่เราจบรามคำแหง เราเป็นลูกพ่อขุน เราก็ต้องกล้าที่จะบอกว่าความจริงนั้นคืออะไร และให้ความรู้กับเยาวชนคนหนุ่มสาว ตั้งแต่ในท้องถิ่นของตนเอง ไปถึงในระดับภาพกว้างว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำและถ้าพวกเรายังจะรักษาประเทศนี้ภายใต้อัตลักษณ์ของความเป็นไทย เราก็ควรที่จะออกไปพูดในความจริงและบอกกับทุกๆ คนว่า ความจริงนั้นเป็นอย่างไร และอย่ากลัวว่าจะเสียคะแนนนิยม เมื่อเราเห็นว่าทักษิณกลับประเทศและเห็นว่าหลักการ ระบบนิติรัฐ นิติธรรม กระบวนการยุติธรรมถูกทำลาย เราก็ต้องจะต้องกล้าพูด กล้ายื่นหนังสือ ถ้าเราไปยื่นหนังสือถึงหน่วยราชการ หน่วยราชการนั้นๆ ก็ต้องปฏิบัติหรือตอบหนังสือของเรามาว่าเขาทำหรือไม่ทำอย่างไรและสิ่งต่างๆเหล่านั้น หนังสือที่เขาตอบมาเหล่านั้นก็จะเป็นพยานหลักฐานที่สามารถที่จะเอาผิดในอนาคตกับหน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้
“ถ้าเขาละเว้นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม ไม่ว่าหน่วยราชการใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ปปช. หรือนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและเมื่อเราไปทำแล้วเราได้หนังสือกลับมาแล้ว แน่นอนว่าในอนาคตเราจะได้เห็นว่าเรื่องนี้จะไปจบที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จะต้องไปจบที่นั่น ข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่ทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนให้นักโทษชายคนหนึ่งมีอภิสิทธิ์หนือกว่านักโทษทั้งประเทศ ซึ่งในขณะนี้มีประมาณ 280,000 คน ทุกเรือนจำทั่วประเทศ ปรากฎว่ามีนักโทษคนเดียวที่ไม่เคยติดคุกเลยแม้แต่วันเดียวและมีรายงานว่าป่วยแต่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ และได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงบัดนี้เป็นเวลานานมากจนเรียกได้ว่า พี่น้องประชาชนทั่วประเทศไม่เชื่อว่ามีการป่วยจริง ตรงนี้ก็ต้องมีการพิสูจน์กันในอนาคต”
นายวัชระ กล่าวว่า คนที่รู้เรื่องราวเหล่านี้มากกว่าตนก็คือคุณจตุพร พรหมพันธุ์ เพราะว่าจตุพรกับทนายนกเขาได้เกาะติดและติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่พี่ปอง อัญชลี ได้พูดคุยในรายการของแนวหน้า Talk ซึ่งพี่ปองอัญชลีก็ได้พูดกับ พี่บุญยอด สุขถิ่นไทย บอกว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร นั้นไปที่ 3 แห่งหมุนเวียนกันก็คือ 1 ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า 2 ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อภาษาอังกฤษ แล้วอยู่ใกล้ๆ กับไอคอนสยาม ซึ่งตรงนั้นก็ไม่ทราบว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ได้สิทธิพิเศษอะไรถึงไม่ได้ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ตลอดเวลา ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ไปที่คอนโดแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง รวม 3 ที่ ตรงนี้มันก็สะท้อน และคนที่ติดคุกก็คือคนจน คนที่เป็นลูกหลานประชาชนที่ไม่มีเงินถึงต้องติดคุก คนที่ไม่มีเส้นไม่มีสายก็ติดคุก แต่คนที่มีเงินก็ไม่ต้องติดคุก เสี่ยเปี๋ยงที่ร่วมทุจริตในคดีจำนำข้าว ก็มาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนข้างนอก ตั้งนานแล้ว
“กรมราชทัณฑ์ก็อึดอัดแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้หรือแม้แต่ อดีตอธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์ ซึ่งปัจจุบันก็นอนอยู่ที่ชั้น 7 โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในแดนต่างๆ คือถ้าเป็นคนที่มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก แต่ว่าท่านอดีตบอร์ดองค์การโทรศัพท์ เห็นว่าก็ยังนอนอยู่ในเรือนจำ ซึ่งจริงๆ แล้ว ท่านก็ทำงานให้กับชั้น 14 ในอดีต ก็ควรที่จะได้รับสิทธิในการ ที่จะไปรักษาตัวที่ชั้น 14 ในโรงพยาบาลตำรวจด้วย แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ไปซึ่งตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่มีเส้น ไม่มีสายไม่มีเงินก็ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างสะดวกสบายได้ และสิ่งที่ผมในฐานะลูกพ่อขุนได้ ไปทำตามที่พี่น้องประชาชนได้บอกให้ไปทำ ขอให้ไปดำเนินการ เราก็ได้ไปทำเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชนซึ่ง เชื่อว่าคุณจตุพร ก็จะพูดในประเด็นนี้และรู้รายละเอียด ทั้งหลายทั้งปวงได้ดีกว่าผม”นายวัชระ กล่าว
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า เคยมาพูดที่รามหลายครั้ง ในช่วงที่ยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าผมมีส่วนกับ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ได้ร่วมกันสู้ในเหตุการณ์พฤษภา ปี 2535 กันมา วันหนึ่งเขาก็ไปยกพรรคไปกับคุณทักษิณวันที่เขาเป็นหัวหน้าพรรควันแรกเขายังไม่ประสีประสาเลย ผมได้กำหนดหัวข้อให้เขามาพูดว่ากว่าจะ เป็นวันนี้ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นเรื่องหัวข้อที่ง่ายที่สุดทางการเมือง และก็อยู่กันมายาวนาน ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นต่าง และอยู่ในพรรคนั้นๆได้นานที่สุดคนหนึ่ง เพราะปกติคนเห็นต่างก็จะต้องถูกเตะออกไป แต่ผมเป็นคนที่เห็นต่างและก็ยังอยู่กันได้ คือผมนี้ถ้าถือหลักว่าให้ทิ้งกันก่อนมันก็คงจะไม่ใช่วิสัย ก็กล้ำกลืนกัน เห็นต่างนี่ก็ซัดกันต่อหน้า ใช่คือใช่ไม่ใช่คือไม่ใช่ เช่นกรณีสุดซอยนี่ผมหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่เอานะ และผมหันหลังเลยวันนั้นผมบอกถ้ายังดื้อดึงกันแบบนี้ คนจะฆ่าตัวตายไม่รู้จะห้ามยังไงนะผมพูดอย่างนี้เลย ผมนี่หันหลังออกและท้ายที่สุดก็มาตาม เพราะว่าประเมินสถานการณ์แล้วว่ากำลังจะมีการยึดอำนาจ แต่นั่นอีกแหละ ท้ายที่สุดเมื่อจนมุม ก็ไปดิวกันก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ เอาประชาชนที่ชุมนุมออกจากที่ชุมนุมผมที่เป็นแกนนำก็ต้องรู้จึงไม่มีทางเลือก ต้องไปเจรจากับพลเอกประยุทธ์ในวันนั้น
“เรื่องราวต่างๆก็เป็นไปดังที่เล่าให้ฟังกัน เมื่อท้ายที่สุดนั้นเมื่อแยกกันคือความจริง ช่วงอยู่กันผมยังยืนยันอีกครั้งว่ามีเรื่องจำนวนมาก ที่เห็นไม่เหมือนกันฟาดกัน เพียงแต่ว่าผมไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ว่าเขาต้องให้อะไรและต้องไปเกรงใจอะไร เราก็เป็นตัวของเราแบบนักกิจกรรมสมัยอยู่รามคำแหงอย่างไรผมก็ปฏิบัติตัวกันอย่างนั้น และก็จนกระทั่งหันหลังกันอย่างเด็ดขาด กรณีเรื่องชั้น 14 นั้นเรื่องนี้เป็นบาดแผลของสังคมไทยระยะยาวเพราะ มันเป็นที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลทั้งปวง ประหลาด ไม่เคยพบเคยเจอเคยเห็นในประวัติศาสตร์ ความเป็นจริงนั้นทุกครั้งของการที่คิดจะกลับบ้านก็มีการ ดิวการต่อรองกันทั้งสิ้น”
นายจตุพร กล่าว่า วันหนึ่งผมก็เอะใจ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยผมเรื่องถูกขังและไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ ว่าขาดคุณสมบัติก็ไปขังและไม่ให้ไปใช้สิทธิ์ ผมเป็น สส.ไม่รู้ว่าจะเป็นคนแรกหรือมีบุคคลอื่นหรือเปล่า ที่เขียนใบสมัครรับเลือกตั้งอยู่ในเรือนจำ ประทับตราเรือนจำพิเศษ และก็ไปสมัครรับเลือกตั้ง กกต. บอกว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ กกต.ท่านหนึ่งคุณสดศรี บอกว่าต้องไปใช้สิทธิ์นะ ถ้าไม่ไปใช้สิทธิ์ก็จะเป็นปัญหา ผมก็ร้องต่อศาล ว่าขอไปใช้สิทธิ์อ้างคุณสดศรี ศาลก็บอกว่าเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของคุณสดศรีเท่านั้น และปรากฏว่ารับรองผมเป็นคนที่ 500 เลย คือต้องการขังไว้ต่อเกือบร่วมเดือน แต่เอาล่ะนั่นมันเป็นเรื่องเล็ก แต่วันหนึ่งเรื่องมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผมไม่รู้ว่าเป็นการดิวกันก่อนโดยที่ผมก็ไม่รู้ ศาลรัฐธรรมนูญนักอ่านวันที่ 18 พฤษภาคม ซึ่งตอนนั้นกระแสเสื้อแดงยังแรงกันจะมีการรำลึกราชประสงค์วันที่ 19 พฤษภาคม ผมก็สงสัยว่าอยู่ดีๆ นัดก่อนวันชุมนุมได้อย่างไร และก็ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านด้วยเสียง 8 ต่อ 1 มี คุณชัช ชลวร ประธานศาลคนเดียวที่ให้พูดที่เหลือ บอกไม่ไปใช้สิทธิ์ก็ขาดคุณสมบัติ ทั้งที่ กกต. เขต บอกมีเหตุอันสมควรจะไม่เกี่ยว วันรุ่งขึ้นคนก็จากที่มาแสนก็มา 2 แสน
“ผมไม่รู้ว่าอดีตนายกทักษิณเขาไปพูดว่าคนที่พายเรือมาส่ง ไม่ต้องตามผมมาแล้วต่อไปนี้ผมไปเองได้แล้ว บนเวทีนี้เลิกรักหมด ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง สักพักโทรศัพท์เข้ามาบอกว่ากำลังจะได้กลับบ้าน ผมก็ถามว่ากลับวันไหนล่ะ สัปดาห์หน้าเจอกันที่กรุงเทพฯ เห็นไหมการดิว คือพร้อมจะทิ้งเลย และก็เพื่อจะลากคนให้มาเต็มเอาเหตุของผมมาตัดสินก่อน 1 วัน ความจริงตัดสินหลัง 1 วันก็ได้ เห็นไหม ดังนั้นพอดิวก็ปรากฏว่าไม่สำเร็จ และก็ดิวต่างกรรมต่างวาระจนกระทั่งมา ผ่านมา 20 ครั้ง จนกระทั่งมาวันที่ 22 สิงหาคม 22 สิงหานี้นะ กลับมาประเทศไทยถ้าไม่มีการดิว 1 เมื่อผู้ต้องหาถูกออกหมายจับหนีฟังคำพิพากษา มีคดีที่ศาลอ่านไปทั้งหมดแล้ว 12 ปี ขาดอายุความ ไป 2 เหลืออีก 10 นัดพร้อม 1 ก็เหลือ 8 ตำรวจต้องควบคุมตัวทันที ปรากฏว่าตำรวจก็ไม่ควบคุมตัวไปศาลฎีกาสนามหลวง ศาลอ่านเสร็จราชทัณฑ์ก็ไม่ควบคุมตัวอีก ก็ไปเรือนจำ เย็นวันเดียวกันนั้น คุณวิษณุ เครืองาม ก็เข้าไป และก็หลังจากนั้นเรารู้ว่าตอนดึกไปโรงพยาบาลตำรวจ ทั้งที่ในเรือนจำพิเศษผมนี่ปิดตาก็เข้าได้เพราะเข้ามา 5 รอบ นายจตุพร กล่าวต่อว่า ปรากฏว่าตั้งแต่บัดนั้นยันบัดนี้ ก็มีการพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย จาก 8 ปีเหลือ 1 ปี แต่ 1 ปีก็ติดไม่ถึง 1 วัน เพราะว่านับเป็นชั่วโมงกันได้นี่ก็เป็นบาดแผลใหญ่ตามลำดับแต่ทั้งหมดคือการดิว ส่วนรัฐบาลแพ้เลือกตั้งครั้งแรกคือแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล ปรากฏว่าในการจัดตั้งรัฐบาลปฏิบัติการเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ในวันที่ 22 สิงหาคม ตอนนายกทักษิณกลับมาตอนเช้า 10.00 น. 11.00 น. ผมมีพรรคพวกที่เป็นนักการเมืองทั้ง สว.ทั้ง สส. ผมเอะใจตั้งแต่ตอนกลางคืนแล้วว่ามี ปฏิบัติการสั่งการเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น มี สว. 152 คนไปโหวตให้กับนายเศรษฐา และเกือบทั้งหมดล้วนแต่เป็น สว. สายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งนั้น พรรคร่วมรัฐบาลก็เป็นพรรคที่พรรคเพื่อไทยประกาศไม่จับมือเกือบทั้งสิ้นได้เป็นนายก แต่เป็นนายกฯที่ภายใต้เงื่อนไขการดิว คือให้เป็นนายกฯแต่ไม่ให้ใช้งบประมาณแผ่นดินเลย นี่แปลกไหม เรานี่เป็นผู้แทนราษฎรมา คุณวัชระ ก็เป็นมา พวกนี้เข้าสภาได้รับเลือกวันที่ 22 สิงหาคม อยู่ในสมัยประชุมรัฐบาลประยุทธ์เขียนร่างงบประมาณรายจ่ายไว้หมดเรียบร้อยแล้ว และถ้าไปเขียนใหม่ก็อาจจะมีเหตุผลอ้างได้
“ปรากฏว่าใช้ร่างเก่าหมดเลยนะตอนเสนอ บวกเงินกู้ไปอีกแสนล้าน ปรากฏว่าไม่ยอมเสนอและพรรคร่วมรัฐบาล ก็เงียบกริบผิดวิสัย สภาพปิดสมัยประชุม 2 เดือนไม่เปิดวิสามัญ สภาเปิดสมัยที่ 2 วันที่ 12 ธันวาคม ก็ไม่ยอมเสนอมาเสนอ ต้นปี วันที่ 3 มกราคม จะได้ใช้ พฤษภาคม 9 เดือน ของการบริหารไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน ไอ้นี่ผิดเลย หมายความว่าความเป็นจริงถ้าพรรคหลักไม่ทำ พรรคร่วมรัฐบาลต้องโวบ นี่ทุกคนเงียบกริบ นั่นก็หมายความว่ามันคือการดิวตกลงกันให้กลับบ้านไม่ติดคุกแม้แต่เพียงวัน เดียวเรื่องการถูกประจานก็รับมือกันเอาเอง กล้องก็เสียให้แล้ว แต่ว่าถ้าเบี้ยวอาจจะดีกู้ขึ้นมาได้นะ คือลวงโลกกันทั้งกระบวนการ แล้ววันที่กรรมาธิการตำรวจไปตรวจ ความเป็นจริงนั้นหัวหน้าพยาบาลเหมือนส่งสัญญาน บอกว่าเขาไม่เคยเข้าไปพบเลย และญาตินานๆ มาเยี่ยมครั้งนึง นั่นเป็นคำบอกใบ้ที่ใหญ่ที่สุด มันเป็นไปได้อย่างไรคนป่วยอาการพะงาบ พะงาบ เขาเฟรนรี่กับครอบครัวจะตาย เป็นอดีตนายกฯ แต่การพูดนั้น คนฟังก็รู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง “
นายจตุพร กล่าวว่า ทั้งหมดนั้นก็เป็นข้อสงสัยที่ยังไม่ได้มีข้อพิสูจน์ใดๆ ผมบอกว่าให้ไปดูในเดือนนี้หลังวันที่ 18ก.พ. เพราะว่าจะกลับบ้าน หลังจากนั้นเดือนมีนาคมถ้าเป็นไปตามดิว เศรษฐาต้องไปนะ และหลังจากนั้นก็จะมีนายกฯ คนใหม่ในโครงสร้างนี้ ที่ก๊องถามว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องพรรคก้าวไกล มันมาจากอะไร คือคนที่ไปดิวเขาสงสัยว่า สว. หมดวาระในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ จะมีการเบี้ยวดิวกัน และก็ก้าวไกล เพื่อไทย จะไปจับมือกัน ก็ตีมือผั้วะเข้าให้ฝั่งก้าวไกลก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น คือผมมองอย่างนี้ ความจริงพวกบรรดาน้องๆ พวกนี้ ก็เหมือนสมัยที่เราทำกิจกรรม เหมือนพรรคนักศึกษาในรามฯ เหมือนสมัยเราๆ มีอะไรต่างกันบ้าง สิ่งที่พวกนี้พูด เราพูดเมื่อสามสี่สิบปีที่แล้วแล้ว ไม่ได้มีอะไรต่างเลยแต่ตอนเราพูดตอนนั้นคนอาจจะไม่ได้ฟัง แต่ยุคนี้โซเชียลมีเดียไปไกล ไม่ใช่เรื่องอะไรใหม่เลย เพียงแต่ว่ามาพูดใหม่ ก็กลายเป็นเรื่องที่แปลก ทั้งที่จริงเราก็เคยผ่านเรื่องแปลกแบบนี้มาแล้วทั้งสิ้น ตั้งแต่รุ่นบรรดาพี่ๆ ตั้งแต่มหาวิทยาลัยตั้งมา จาก 14 มา 16 มา 19 มาปี 35 ไม่มีอะไรต่างกัน
“แต่วิธีการจะนำมาสู่การยุบ 100% หรือไม่ เขาก็ต้องดูปรากฏการณ์ทีละขั้นตอน แต่ถามว่ามีช่องรอดไหม มี ของพลเอกประยุทธ์ 8 ปียังนับได้ 6 ปีเลย ทั้งที่การประชุมคณะกรรมการร่าง บอกว่าเป็นมาเท่าไหร่ก็นับตามนั้น ก็ไปแถได้ว่าให้นับวันรัฐธรรมนูญประกาศใช้ทั้งๆที่ในนั้น การประชุมคณะกรรมการร่างคุณมีชัยบอกว่า เป็นมากี่ปีก็นับจากนั้น เช่นว่าคุณชวนเป็นมาแล้ว 7 หรือว่า 6 ก็เป็นได้เท่ากับจำนวนที่เหลือ แต่ว่าพอต้องการที่จะออกช่วยก็เป็นเช่นนั้นกันไปได้ นี่ก็วินิจฉัยอย่างไรก็ว่ากันไปตามนั้น กรณีนี้ก็เหมือนกัน เขาก็คงต้องมีการประเมินสถานการณ์กันไปยกเว้นว่า ต้องการจะล้มกระดานกันอีกรอบ เช่น คำว่าเข้าข่ายล้มล้าง ถ้าอยากจะช่วยกันก็ใช้คำว่าเข้าข่ายแต่ยังไม่ทันล้มล้าง แต่ว่าถ้าต้องการจะเอาล้มก็คือล้ม พรบ. พรรคการเมืองมาตรา 92 ล้มก็คือล้ม เรื่องจริยธรรมก็ประหารชีวิตทางการเมืองตลอดชีวิต ซึ่งยิ่งไปใช้วิธีการนี้กับพวกนี้ ยิ่งจะสู้พวกนี้ไม่ได้ เพราะว่าอารมณ์ของคน คือจุดแข็งของก้าวไกลมีเรื่องเดียว คือยังไม่ได้เป็นรัฐบาลสักทียังไม่ได้เห็นว่าเขาบริหารประเทศสำเร็จหรือล้มเหลว แต่แบกความหวังไว้ทั้งหมด”
นายจตุพร กล่าวว่า วิธีที่จะจัดการเขาได้คือต้องให้เขาเป็นรัฐบาลสักครั้งหนึ่ง ดีก็ได้คนอาจจะเข็ดหลาบเลยก็ได้นะ สำเร็จก็ได้ไม่สำเร็จก็ได้ เพราะฉะนั้นให้ดูปรากฎการณ์หลังจากกลับบ้านเดือนกุมภาพันธ์หลัง 18 ก็คงกลับหลังจากนั้น เพราะว่าบางเดือนมี 31 วันถ้านับ 180 วัน ก็ไปครบเอาตามนั้น ดังนั้นพอรัฐธรรมนูญปี 60 นี่ทำให้เศรษฐาเป็นนายกฯ แต่ว่าการสรรหา สว. ต่อไป พรรคเก้าไกลจะยึดสภาสูงทั้งหมด คือหมายความว่าไปสมัครแต่ละสาขาอาชีพและให้ไปเลือกกันเอง ตอนแรกก็คิดวางแผนว่าอยู่กับมือแต่ดูประกันสังคมสิเห็นไหม พวกนี้ยึดฝ่ายลูกจ้างเกือบเบ็ดเสร็จเลย ทีนี้การสรรหา สว. ระบบใหม่เอาแบบนั้นเลยนะ และที่สำคัญที่สุดหลายคนบอกว่าต้องจ่ายค่าสมัคร 2,500 บาท ก็มันได้รับบริจาค คือเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับบริจาคสูงสุด ถามว่าคนที่มีอำนาจทนได้ไหม ต่อมาเมื่อสิ้นปีการเลือกตั้งนายก อบจ. ก็ต้องเกิด ขึ้นไม่ให้บริหารประเทศก็ให้บริหารจังหวัด จะทนได้ไหม
“ผมกลัวว่าจะจบลงแบบ 22 พฤษภา ปี57 อีกนะ เพราะว่าวิธีการแบบนี้ อย่างไรไม่ชนะหรอก ความเป็นจริง ผมเล่าให้ฟังหลายที่แล้ว รัชกาลที่ 10 ท่านคิดการไกลก่อน เรื่องนี้จะเกิดขึ้น ผมติดคุกผ่านมา 2 รัชกาลติดต่อกัน เรื่องนี้พอจะอวดได้บ้างว่าติดคุกมา 2 รัชกาล สมัยรัชกาลที่ 9 ท่านรู้วิธีเลย อดีตนายกทักษิณ ขอพระบรมราชานุญาติ เพื่อจะจับ ส. ศิวรักษ์ ในหลวงบอกว่านายกฯ ไปจับคนที่หมิ่นเราคนที่เดือดร้อนคือเรา อย่าได้ไปทำ ผมถามทั้งเบื้องหลังการถ่ายทำอะไร ต่ออะไรไปถามหมด และจนกระทั่งว่ารัชกาลที่ 10 ก่อนทรงราช มีนักวิชาการไปโพสต์ตามกลุ่มต่างๆ อยู่ 9 ราย เขาก็ใช้วิธีพูดคุยทำความเข้าใจ มี 8 ราย ยอมพูดคุยด้วย เมื่อเข้าใจกันก็สั่งไม่ฟ้องอีก 1 รายไม่ได้ฟ้องคดี 112 เขาคดีอื่นและก็ติดคุกพอดีก็ปล่อยในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แต่เมื่อทรงราชแล้ว วันหนึ่งพรรคพวกที่เป็นผู้แทนแต่ว่าเขาก็มีพรรคพวกเขาอยู่ในศาล แล้วเข้าไปเยี่ยมผมในเรือนจำ บอกว่าเขาได้ข่าวมาว่าต่อไปนี้คดีที่อยู่ใน ชั้นพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ112 นี้ จะสั่งไม่ฟ้องทั้งหมด อยู่ในศาลก็ยกฟ้อง 100% ติดคุกก็อภัยโทษตามลำดับไม่มีการกั้ก ถ้าขออภัยโทษเฉพาะหลายก็จะให้ทุกราย 3 ปีไม่มีคดี 112 และก็ไม่ให้ใครไปแจ้งความได้ทั่วไปอีกแล้วนะ ให้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ได้คนเดียว”
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี ของการทรงราษฎร์ก็ไป อย่างแข็งแรง แต่ว่าเรื่องนี้ไม่มีการพูดในที่สาธารณะจนกระทั่งพลเอกประยุทธ์ไปเผลอหลุดปากว่า ในหลวงไม่ทรงลดโทษทีนี้แห่กันมาอย่างกับผึ้งเลย แกคุมสถานการณ์ไม่อยู่กลับมาลงโทษใหม่เลย เลยกลายเป็นปัญหาใหม่มาถึงปัจจุบันนี้ทั้งที่จริง ถ้าเอาตามแนวรัชกาลที่ 10 เรื่องนี้ไม่มีนะ และในทางปฏิบัติเหมือนเราเรียนหนังสือ คุยๆๆ กันครูเงียบ เด็กมันมาด่ากันเองเห็นไหม นี่ก็เหมือนกันคือหมายความว่าหลักคิดคือ ความผิดที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ท่านไม่ประสงค์เอาโทษกับใคร ความยิ่งใหญ่ก็บังเกิดและควบคุมสถานการณ์ได้เรียบร้อย 3 ปี นั้น เป็นสถานการณ์ที่ไม่มีปัญหาเลย เพราะฉะนั้นผมบอกว่าขณะนี้เราไม่รู้ว่าบ้านเมืองเราจะนำไปสู่ ในสถานการณ์ไหน คนเป็นนายกฯจะรักษาดิวไหม เพราะว่าก็น่าเห็นใจเป็นนายกที่ไม่ได้ใช้ตังค์อะไรเลย นึกอะไรไม่ออกก็ไปภูเก็ตเดี๋ยวไปเชียงใหม่ ไปภูเก็ตไปเชียงใหม่เดี๋ยวไปเมืองนอก เดี๋ยวก็ประกาศว่าจะนอนทำเนียบ ก็เลื่อนไม่นอน คนเขียนการ์ตูนล้อ ผีก็รอจะหลอกก็หลอกไม่ทันซะที เพราะไม่ยอมมานอน
“ผมก็เลยบอกว่าให้จับตาดู 2 เดือนนี้ ช้าที่สุดไม่เกินสงกรานต์ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกระลอกหนึ่ง แต่เพื่อชี้ให้ชัด มีการวิเคราะห์กันว่าอะไรที่เขาสงสัย เขาจะไม่ปล่อยให้มีความสงสัยแล้วไปเดาเอา สงสัยก็ฟันดาบแรกเลย สงสัยใครอีกก็ล็อคขาไว้เลย สงสัยกี่สงสัยก็จะออกให้ คือการบริหารในเชิงอำนาจนั้น วันหนึ่งถ้าเราอยู่ข้างนอกเราไม่เข้าใจนะ แต่ว่าพอไปเห็นเองเห็นดูกันเบื้องหลังการถ่ายทำแต่ละเรื่อง และที่สำคัญอย่างที่ผมบอกคือคนรามไปทุกแวดวงจริงๆ แหล่งข่าวผมเลยส่วนใหญ่พวกรามทั้งนั้นแหละ อย่าว่าแต่เป็นฝ่ายต่างๆ เป็นตำรวจนี่ก็รามเยอะ ทหารที่มีชื่อเสียงดังๆ นี่ก็ราม ออกมาจับเสร็จบอกพี่จำผมไม่ได้ไงผมอยู่ซุ้มนี้ รามเต็มไปหมดทั่วทุกอณูเพราะฉะนั้น อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ผมว่าคนราม เกี่ยวข้องกับทุกเหตุการณ์เราเป็น มหาวิทยาลัยประชาชนที่ใหญ่ที่สุดเพราะฉะนั้น ผมมักจะฉายภาพเสมอ และเชื่อว่าคุณวัชระ เพชรทอง หรือแม้กระทั่งพร้อมพวกเราทุกคน เราจะมีความภาคภูมิใจเมื่อเราทำหน้าที่ว่าเราเป็นลูกพ่อขุน เป็นมหาวิทยาลัยที่จากหน่วยกิต 18 บาทมา 25 บาทแล้วนะ แต่ว่าก็สามารถอาละวาดได้ทุกแวดวงเป็นต้นทุนต่ำ แปลว่าเป็นโรงเรียนที่ฝึกคน ที่เขาบอกว่า นกไร้ขน คนไร้เพื่อน รามคำแหงได้สร้างปรากฏการณ์นี้ให้กับสังคมและประเทศไทยอย่างแท้จริง”นายจตุพร กล่าว
3 ก.ย. 2567