นี่คือเหตุผลที่คะแนนความนิยมของรัฐบาลลดลง!!!

Last updated: 15 ส.ค. 2564  | 

นี่คือเหตุผลที่คะแนนความนิยมของรัฐบาลลดลง!!!

เมื่อเดือนมิถุนายนผมเห็นนิคเคอิดัชนีที่มีชื่อว่า Nikkei Covid-19 Recovery Index หรือเข้าใจง่าย ๆในภาษาไทยว่าเป็นดัชนีที่ทำนายการฟื้นตัวจากการระบาดของโควิดของประเทศต่าง ๆ ประจำเดือนมิถุนายน 2564 โดยประเมินจากปัจจัยความสามารถในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1.การบริหารจัดการวิกฤตโรคระบาด   2. การกระจายวัคซีน และ 3. ความสามารถในการเคลื่อนตัวของสังคม ในช่วงปลายเดือนของทุกๆ เดือน คำนวณคะแนนจาก 0-90 ซึ่งวัดจาก 3 หมวดหลักข้างต้น โดยมีดัชนีรวม 9 หมวดย่อย เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อต่อประชากร การตรวจเชื้อต่อจำนวนเคส ปริมาณวัคซีนรวมที่ได้รับต่อหัว สัดส่วนของประชาชนที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส เป็นต้น 

ประเทศที่ได้รับคะแนนสูงที่สุดคือประเทศจีน ได้รับคะแนน 74 คะแนน ส่วนประเทศไทยครับ เชื่อหรือไม่ครับ อยู่อันดับที่ 118 จาก 120 กว่าประเทศ ได้รับคะแนน 26 คะแนน เชื่อหรือไม่ครับ(ครั้งที่สอง) ว่าเราแพ้ทุกประเทศในอาเซียนที่เขาประเมินครับ 

จนมาวันนี้(13 ส.ค.) จากการประเมินล่าสุดสำหรับเดือนกรกฎาคม...เชื่อหรือไม่ครับ(ครั้งที่สาม) ว่าด้วยทักษะและฝีมือการบริหารงานอันเป็นเอกอุของรัฐบาลชุดนี้ต่อสถานการณ์โควิด สามารถทำให้เราร่วงลงมาอีกเหลือแค่ 22 คะแนน อยู่อันดับที่ 120 เกือบรั้งท้ายอยู่รอมร่อ โดยมีเพื่อนรักเวียดนามร่วงตามไทยลงมาอยู่อันดับที่ 120 ด้วยกัน  แล้วใครได้อันดับที่หนึ่งในอาเซียน (ไม่นับสิงคโปร์อันดับที่ 7) ทราบไหมครับ ? ประเทศกัมพูชาครับอันดับที่ 82 ได้ 45 คะแนน เหนือกว่าญี่ปุ่นที่ได้อันดับ 83 ไปเฉียดฉิว ตามด้วยประเทศลาวอันดับที่ 103 ต่อด้วยฟิลิปปินส์ 106 และ,มาเลเซียกับอินโดนีเซียครองอันดับที่ 114 ร่วมกัน ผมใส่ link ไว้ หากท่านใดอยากทราบข้อมูลโดยละเอียดเชิญเข้าไปดูครับ 

https://asia.nikkei.com/Spotlight/The-Big-Story/Nikkei-COVID-19-Recovery-Index

ดัชนีอันดับการฟื้นตัวของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 120 ของโลก หมายความว่า เราจะฟื้นตัวช้าที่สุดเป็นอันดับที่ 120 ของโลก แม่เจ้า !!! จะง่อยแบบนี้ไปนานกว่าชาวบ้าน ภาพจำเมื่อปีที่แล้วตอนได้รับคำชมจากองค์การอนามัยโลกว่าเราเป็นประเทศที่มีระบบการจัดการกับเจ้าโควิดได้ดีเป็นอันดับต้น ๆของโลกมันย้อนมา ท่านนายกฯประยุทธ์ เอามาคุยขรมอยู่หลายครั้ง ว่าเห็นไหม ๆ ๆ ว่าเราทำได้ เราทำงานกันหนัก คุณอนุทินออกมายิ้มหน้าบานให้สัมภาษณ์ด้วยความสุขล้นปรี่ อนิจจาความสุขที่พวกท่านได้รับมันแสนสั้นนัก เพียงขวบปีเดียวเราก็พังพาบจนกลายเป็นประเทศที่มีความสามารถจบเรื่องโควิด-19 ได้ในอันดับที่ 120 

นี่คือเหตุผลที่คะแนนความนิยมของรัฐบาลลดลง คนที่ไม่รักก็เพิ่มความไม่รักมากขึ้น คนเคยรักก็เริ่มตีตนออกห่างหรือเปลี่ยนใจไม่สนับสนุนต่อไป  คนที่เคยหนุนหลังก็พึมพำว่ากูแค่เป่านกหวีดแต่กูไม่ได้เลือกรัฐบาลนี้  คนที่เถียงแทนรัฐบาลเริ่มเถียงไม่ออก จะเห็นว่าสิ่งที่ดัชนีนิคเคอิวิเคราะห์นั้นทำโดยปราศจากอคติแน่นอน เพราะญี่ปุ่นเองก็ยังถูกวิเคราะห์ว่าจะจบเรื่องโควิดได้เป็นอันดับที่ 83 ตามหลังกัมพูชาเลยครับ  ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงหาทางเอาชนะม็อบที่มาเรียกร้องให้ลาออกหรอกครับ เพราะทั้งโลกเขารู้หมดแล้ว ต่างชาติเขามองรัฐบาลไทยโคตรกระจอกไร้ฝีมือครับ

รัฐบาลเหลือทางเลือกให้เดินสองทางคือ ทางเลือกที่หนึ่ง กลับมาสู้สุดใจขาดดิ้น ต้องรีบระดมรัฐมนตรีทั้งหมดลงมาช่วยแก้ไขปัญหาหลักของสถานการณ์นี้แบบเรื่องงานกระทรวงตนเองให้ปลัดกระทรวงทำไป คือหนึ่งเรื่องวัคซีน มอบหมายงานเลยครับให้รัฐมนตรีช่วยกันดีลซื้อเดือนละ 15 ล้านโดส อย่างที่ผมเคยเขียนบอก สองช่วยกันระดมสรรพกำลังตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วย ATK เป้าหมาย 1 ล้านคนต่อรัฐมนตรี 1 ท่าน และสามท่านนายกสั่งการไปเลยครับให้รัฐมนตรีแต่ละคนไปสร้างโรงพยาบาลสนามให้ได้คนละ 1,000 เตียงในจังหวัดที่มีพื้นที่ที่เหมาะสม ภายในเวลา 30 วัน  พอเถิดครับที่เอาเวลาไปช่วยซื้อบ้านคืนให้คุณยายที่หลุดจำนอง,ไปแก้ปัญหาล้งรับซื้อมังคุดข้ามจังหวัด, ออกข่าวขู่จะปรับและจำคุกคนขาย ATKที่โก่งราคา, คิดแผนแจกเงินซ้ำซ้อนกับที่ส่วนกลางทำ, ไปตรวจเยี่ยมสถานีกลางบางซื่อ (ไปบ่อยมาก) และอื่น ๆ ผมว่ารัฐมนตรีค่อนข้างว่างงานนะ ท่านนายกฯเอาอย่างนี้เลย ใครทำไม่ได้ก็โละออกไปหาคนใหม่เข้ามา ตอนนี้เหลือรัฐมนตรีแค่กระทรวงเดียวครับ รัฐมนตรีทุกคนต้องมาทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโควิด-19 วินาศสันตะโรครับ กระทรวงนี้ผมตั้งเองเฉพาะกิจ เพื่อทำลายล้างโควิด-19 ให้สิ้นซากไปจากประเทศไทย บรรลุภารกิจก็ค่อยเลิกกระทรวงนี้ไป ผลงานการต่อสู้ครั้งนี้ของรัฐบาลสามารถวัดได้จากดัชนีนิคเคอิต่อการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดในเดือนต่อไปครับ มาดูกันว่าถ้าทำกันสุดใจขาดดิ้นอันดับเราจะดีขึ้นไหม

และทางเลือกที่สองคือ...ลาออกครับ นี่คือแบบลูกผู้ชายเลยครับ ถ้าจะสู้ก็ต้องสู้ขาดใจทำสุดฝีมือสุดกำลัง แต่ถ้าจะเอื่อย ๆกันนี่ผมว่าเลือกการลาออกไปเลยดีกว่าครับ อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นรุ่นพี่ท่าน พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ท่านก็เคยลาออกมาแล้วเพราะพิษต้มยำกุ้ง ไม่เห็นต้องอายอะไรเลย สง่างามมากครับ ลองตัดสินใจดูว่าจะสู้...หรือจะไป

ผมหวังว่าหากท่านเลือกทางที่จะสู้ต่อ ขอให้ท่านใช้รัฐมนตรีให้ทำงานโดยตรงกับโควิด เพื่อให้ดัชนีอันดับของเราฟื้นตัวในเดือนสิงหาคมนี้ ผมขอไม่ต้องมากครับ สเต็ปแรกขอให้ดีดตัวอยู่เหนือลาวที่เราตามอยู่ 13.5 คะแนนให้ได้ครับ และเดือนต่อไปให้อยู่เหนือประเทศอาเซียนทั้งหมด (ปล่อยสิงคโปร์เขาไป)  

ว่าแต่ว่า อย่าให้เดือนสิงหาคมเราร่วงลงไปต่ำกว่าอันดับที่ 120 ได้ไหมครับ...

ใครไม่อาย ผมโคตรอายเลยครับ !!!

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้